เมนู

[1186] บุคคลย่อมเกิดในตระกูลกษัตริย์ เพราะ
พรหมจรรย์อย่างต่ำ เกิดในเทวโลก เพราะ
พรหมจรรย์อย่างกลาง และบริสุทธิ์ได้ เพราะ.
พรหมจรรย์อย่างสูง.
[1187] ทาน ท่านผู้รู้สรรเสริญโดยส่วนมากก็
จริง แต่ว่าบทแห่งธรรมแลประเสริฐกว่าทาน
เพราะว่าสัตบุรุษทั้งหลายในครั้งก่อน หรือว่า
ก่อนกว่านั้นอีก ท่านมีปัญญา เจริญสมถ
วิปัสสนาแล้ว ได้บรรลุพระนิพพานทีเดียว.

จบ อาทิตตชาดกที่ 8

อรรถกถาอาทิตตชาดกที่ 8



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารุเชตวัน ทรงปรารภ
อสทิสทาน จึงได้ตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า อาทิตฺตสฺมึ ดังนี้. เรื่อง
อสทิสทาน มีเนื้อความพิสดารในอรรถกถา มหาโควินทสูตร.
ก็ในวันที่ 2 จากวันที่พระเจ้าโกศลถวายอสทิสทานแล้ว ภิกษุ
ทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า อาวุโสทั้งหลาย พระเจ้าโกศล

ทรงฉลาดเลือกเนื้อนาบุญอันประเสริฐ ถวายมหาทานแด่อริยสงฆ์ มี
พระพุทธเจ้าเป็นประมุข. พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร ? เมื่อภิกษุ
เหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การ
เลือกถวายทานในเนื้อนาบุญอันสูงยิ่งของพระเจ้าโกศล ไม่น่าอัศจรรย์
โบราณกบัณฑิตก็ได้เลือกเฟ้นแล้ว จึงได้ถวายมหาทานเหมือนกัน ดังนี้
แล้ว ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล พระเจ้าเภรุวมหาราช ครองราชสมบัติในเภรุว-
นคร สีวิรัฐ ทรงบำเพ็ญทศพิธราชธรรม สงเคราะห์มหาชนด้วย
สังคหวัตถุ 4 ทรงดำรงอยู่ในฐานะเป็นมารดาบิดาของมหาชนได้ให้ทาน
แก่คนกำพร้า วณิพก และยาจกทั้งหลายมากมาย. พระองค์มีอัครมเหสี
พระนามว่า สมุททวิชยาเป็นบัณฑิตสมบูรณ์ด้วยญาณ. วัน 1
พระเจ้าเภรุวมหาราช เสด็จทอดพระเนตรโรงทาน ทรงพระดำริว่า
ปฏิคาหกทั้งหลายล้วนเป็นผู้ทุศีล เหลวไหล บริโภคทานของเราข้อนั้น
ไม่ทำให้เรายินดีเลย เราใคร่จะถวายทานแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าผู้มีศีล
เป็นอรรคทักขิไณยบุคคล แต่ท่านเหล่านั้นอยู่ในหิมวันตประเทศ ใคร
หนอจักไปนิมนต์ท่านมาได้เราจักส่งใครไปนิมนต์ได้ ทรงพระดำริดังนี้
แล้ว ได้ตรัสบอกความนั้นแด่พระเทวี. ลำดับนั้น พระเทวีได้ทูล
พระราชาว่า ข้าแต่พระองค์ขอพระองค์อย่าทรงวิตกเลย เราจักส่งดอกไม้

ไปนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ด้วยกำลังทานที่จะพึงถวาย กำลัง
ศีลและกำลังความสัตย์ของเราทั้งหลาย ครั้นพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย
มาถึงแล้ว จึงจักถวายทานที่สมบูรณ์ด้วยบริขารทุกอย่าง. พระราชาทรง
รับสั่งว่าดีแล้ว ดังนี้แล้วรับสั่งให้ตีกลองประกาศว่า ชาวพระนครทั้งสิ้น
จงสมาทานศีล ส่วนพระองค์เองพร้อมด้วยราชบริพาร ก็ทรงอธิษฐาน
องค์แห่งอุโบสถบำเพ็ญมหาทาน แล้วให้ราชบุรุษถือกระเช้าทองใส่ดอก
มะลิเต็ม เสด็จลงจากปราสาทประทับที่พระลานหลวง ทรงกราบ
เบญจางคประดิษฐ์เหนือพื้นดิน แล้วผินพระพักตร์ไปทางทิศปราจีน
ถวายนมัสการแล้วประกาศว่า ข้าพเจ้าขอนมัสการ พระอรหันต์ทั้งหลาย
ในทิศปราจีนถ้าคุณความดีอะไร ๆ ของข้าพเจ้ามีอยู่ไซร้ ขอท่านทั้งหลาย
จงอนุเคราะห์พวกข้าพเจ้า โปรดมารับภิกษาหารของข้าพเจ้าทั้งหลายเถิด
ประกาศดังนี้แล้ว ทรงซัดดอกมะลิไป 7 กำมือ. ในวันรุ่งขึ้นไม่มี
พระปัจเจกพุทธเจ้ามา เพราะในทิศปราจีนไม่มีพระปัจเจกพุทธเจ้า.
ในวันที่ 2 ทรงนมัสการไปทางทิศทักษิณ ก็หามีพระปัจเจกพุทธเจ้า
มาไม่ วันที่ 3 ทรงนมัสการไปทางทิศปัจฉิม ก็หามีพระปัจเจกพุทธเจ้า
มาไม่. วันที่ 4 ทรงนมัสการไปทางทิศอุดร. ก็แหละครั้นทรงนมัสการ
แล้ว ทรงซัดดอกมะลิไป 7 กำมือ อธิษฐานว่า ขอพระปัจเจกพุทธเจ้า
ทั้งหลายที่อยู่ในหิมวันตประเทศด้านทิศอุดร จงมารับภิกษาหารของ
ข้าพเจ้า.

ดอกมะลิได้ลอยไปตกลง เหนือพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย
500 องค์ ที่เงื้อมภูเขานันทมูลกะ. พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น
พิจารณาดูก็รู้ว่า พระราชานิมนต์ วันรุ่งขึ้น จึงเรียกพระปัจเจกพุทธเจ้า
มา 7 องค์ แล้วกล่าวว่า แน่ะ ท่านผู้เช่นกับด้วยเรา พระราชานิมนต์
ท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงสงเคราะห์พระราชาเถิด. พระปัจเจก-
พุทธเจ้าเหล่านั้น เหาะมาลงที่ประตูพระราชวัง. พระเจ้าเภรุวมหาราช
ทอดพระเนตรเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น แล้วทรงโสมนัสนมัส-
การแล้ว นิมนต์ขึ้นปราสาท ทรงสักการะบูชาเป็นการใหญ่แล้วถวาย
ทาน ครั้นฉันเสร็จแล้วได้นิมนต์ให้มาฉันวันต่อ ๆ ไปอีกจนครบ 6 วัน
ในวันที่ 7 ทรงจัดแจงบริขารทานทุกอย่าง แต่งตั้งเตียงตั่งที่วิจิตรด้วย
แก้ว 7 ประการ ทรงวางเครื่องสมณบริโภคทั้งปวงมีไตรจีวรเป็นต้น
ในสำนักของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้ง 7 พระองค์ ถวายนมัสการตรัสว่า
ข้าพเจ้าขอถวายบริขารเหล่านี้ทั้งหมดแด่พระคุณเจ้าทั้งหลาย เมื่อพระ-
ปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นฉันเสร็จแล้ว พระราชาและพระเทวีทั้ง 2 พระ-
องค์ประทับยืนนมัสการอยู่.
ลำดับนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้าผู้เป็นใหญ่ในหมู่เมื่อจะอนุโมทนา
แด่พระราชาและพระเทวี จึงได้กล่าวคาถา 2 คาถาว่า :-
เมื่อเรือนถูกไฟไหม้ บุคคลผู้เป็นเจ้าของ

ขนเอาสิ่งของอื่นใดออกได้ สิ่งของอันนั้น
ย่อมเป็นประโยชน์แก่เจ้าของนั้น แต่ของที่
ถูกไฟไหม้ย่อมไม่เป็นประโยชน์แก่เขา.
โลกถูกชราและมรณะเผาแล้วอย่างนี้
บุคคลพึงนำออกเสียด้วยการให้ทาน ทานที่ให้
แล้วจะน้อยก็ตาม. มากก็ตาม ชื่อว่าเป็นอัน
นำออกดีแล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาทิตฺตสฺมึ ความว่า ขณะเมื่อ
เรือนถูกไฟไหม้นั้น. บทว่า ภาชนํ ได้แก่ อุปกรณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง
บทว่า โน จ ยํ ตตฺถ ความว่า แต่สิ่งใดในเรือนนั้นไม่ได้ขนออก
ย่อมถูกไฟไหม้ไม่เหลือแม้แต่หญ้า สิ่งเหล่านั้นทั้งหมด ย่อมไม่เป็นคุณ
ประโยชน์แก่เราเลย. บทว่า ชราย มรเณน จ นี้เป็นเพียงหัวข้อเทศนา.
แต่โดยอรรถ โลกคือเบญจขันธ์นั้น ชื่อว่า ถูกไฟ 11 กอง เผาผลาญ
แล้ว บทว่า นีหเรเถว ความว่า เพราะเหตุนั้นโลกคือเบญจขันธ์ถูก
ไฟ 11 กอง เผาผลาญอยู่เช่นนี้ บุคคลต้องนำออกด้วยการตั้งใจให้
บริขารทาน ต่างโดยทานวัตถุ 10 อย่างเท่านั้น. ทานที่ให้แล้วจะน้อย
หรือมากก็ตามนั้น ชื่อว่า เป็นการนำออกดีแล้ว.
พระสังฆเถระ ครั้นอนุโมทนาอย่างนี้แล้ว ได้ให้โอวาทแด่

พระราชาว่า มหาบพิตร พระองค์อย่าทรงประมาท แล้วเหาะขึ้นอากาศ
ทำช่อฟ้าปราสาท ให้แยกเป็นสองช่องไปลง ณ เงื้อมภูเขานันทมูลกะ. แม้
บริขารที่พระราชาถวายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า ก็ลอยตามไปกับพระ-
ปัจเจกพุทธเจ้าลงที่เงื้อมภูเขานั้นเหมือนกัน. พระสกลกายของพระราชา
และพระเทวี เต็มตื้นไปด้วยปีติ. เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้เป็นใหญ่ใน
หมู่ไปอย่างนี้แล้ว พระปัจเจกพุทธเจ้าที่ยังคงเหลืออยู่ 6 องค์ ได้
อนุโมทนาด้วยคาถา องค์ละคาถาว่า :-
คนใดให้ทานแก่ท่านผู้มีธรรมอันได้แล้ว
ผู้บรรลุธรรมด้วยความเพียรและความหมั่น คน
นั้นล่วงเลยเวตรณีนรก ของพระยายมไปได้
แล้วจะเข้าถึงทิพยสถาน.
ท่านผู้รู้กล่าวทานกับการรบว่า มีสภาพ
เสมอกัน นักรบแม้จะมีน้อย ก็ชนะคนมาก
ได้ เจตนาเครื่องบริจาคก็เหมือนกัน แม้
จะน้อยย่อมชนะหมู่กิเลสแม้มากได้ ถ้าบุคคล
เชื่อกรรมและผลแห่งกรรม ย่อมให้ทานแม้
น้อย เขาก็เป็นสุขในโลกหน้า เพราะการ
บริจาคมีประมาณน้อยนั้น.

การเลือกทักขิณาทานและพระทักขิไณย-
บุคคล แล้วจึงให้ทาน พระสุคตเจ้าทรง
สรรเสริญ ทานที่บุคคลถวายในพระทักขิไณย-
บุคคลมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ซึ่งมีอยู่ในสัตว์
โลกนี้ ย่อมมีผลมาก เหมือนพืชที่หว่านลงใน
นาดีฉะนั้น.
บุคคลใดไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย
เที่ยวไปอยู่ ไม่ทำบาปเพราะกลัวคนอื่นจะ
ติเตียน บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญบุคคล
ผู้กลัวบาปนั้น ย่อมไม่สรรเสริญบุคคลผู้กล้า
ในการทำบาป เพราะว่าสัตบุรุษทั้งหลาย ย่อม
ไม่ทำบาป เพราะความกลัวถูกติเตียน.
บุคคลย่อมเกิดในตระกูลกษัตริย์ เพราะ
พรหมจรรย์อย่างต่ำ เกิดในเทวโลก เพราะ
พรหมจรรย์อย่างกลาง และบริสุทธิ์ได้ เพราะ
พรหมจรรย์อย่างสูง.

ทาน ท่านผู้รู้สรรเสริญ โดยส่วนมากก็
จริง แต่ว่าบทแห่งธรรมแลประเสริฐกว่าทาน
เพราะว่าสัตบุรุษทั้งหลายในครั้งก่อน หรือว่า
ก่อนกว่านั้นอีก ท่านมีปัญญา เจริญสมถ
วิปัสสนาแล้ว ได้บรรลุพระนิพพานทีเดียว.

ครั้นกล่าวอนุโมทนาอย่างนี้แล้ว ก็ได้เหาะไปเหมือนอย่างนั้น
แหละ พร้อมกับบริขารทั้งหลาย.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺมลทฺธสฺส ความว่า บุคคล
มีพระขีณาสพเป็นต้น จนถึงพระโยคาวจรผู้สุกขวิปัสสก ชื่อว่า
ธัมมลัทธะ เพราะความเป็นผู้มีธรรมอันได้บรรลุแล้ว. บุคคลประเภท
นั้นแหละ ชื่อว่า อุฏฺฐานวิริยาธิคต เพราะธรรมวิเศษนั้น ท่านได้
บรรลุแล้วด้วยความเพียร คือความหมั่น. อริบายว่า. ชนผู้ต้องเกิดตาย
เป็นธรรมดา ให้ทานวัตถุที่ควรให้ แก่บุคคลผู้บรรลุธรรมวิเศษแล้วนั้น.
อีกนัยหนึ่ง มีอธิบายว่า ชนผู้ต้องเกิดต้องตายเป็นธรรมดา ถือเอาส่วน
อันเลิศของไทยธรรมที่ตนได้แล้วโดยธรรม คือได้มาด้วยความเพียร
กล่าวคือความขยันขันแข็ง แล้วให้ทานในท่านผู้มีศีลทั้งหลาย. อีก
อย่างหนึ่งความในคาถานี้ บัณฑิตพึงทราบโดยทำทุติยาวิภัติให้เป็นฉัฏฐี
วิภัติ. บทว่า เวตรณี นี้เป็นหัวข้อแห่งเทศนา. อธิบายว่า พระขีณาสพ

ตลอดถึงพระสุกขวิปัสสก ย่อมจะล่วงเลย เวตรณีนรก คือมหานรก 8
อุสสทนรก 16 ของพญายมไปได้. บทว่า ทิพฺพานิ ฐานานิ อุเปติ
ความว่า ย่อมไปบังเกิดในเทวโลก. บทว่า สมานมาหุ ความว่า
ท่านผู้รู้กล่าวว่าเหมือนกัน. อธิบายว่า คนกลัวความสิ้นเปลือง ย่อม
ไม่มีการให้ คนขลาดต่อภัย ย่อมไม่มีการยุทธนา คือนักรบสละความ
อาลัยในชีวิตได้ ก็อาจเข้ารบกันได้ ทายกสละความอาลัยในโภคะเสียได้
ก็อาจบริจาคได้ด้วยเหตุนั่นแหละ ท่านผู้รู้จึงกล่าวการให้และการรบทั้ง
สองอย่างนั้น ว่ามีสภาพเสมอกัน. บทว่า อปฺปาปิ สนฺตา ความว่า
นักรบถึงมีพวกน้อยแต่พร้อมใจกันสละชีวิตก็อาจรบคนพวกมาก เอา
ชัยชนะได้ฉันใด เจตนาคิดบริจาคถึงจะมีน้อย ก็ย่อมชนะหมู่กิเลส
พวกมาก มีมัจฉริยจิต และโลภะเป็นต้นได้ฉันนั้น บทว่า อปฺปมฺปิ เจ
ความว่า ถ้าทายกใดเชื่อกรรม เชื่อผลแห่งกรรม บริจาคไทยธรรมแม้
เล็กน้อยไซร้. บทว่า เตเนว โส ความว่า ดูก่อนมหาบพิตรทายกนั้น
ย่อมเป็นสุขในโลกหน้า ด้วยผลแห่งไทยธรรมเล็กน้อยนั้นทีเดียว.
บทว่า วิเจยฺย ทานํ ได้แก่ทานที่บุคคลเลือกทักขิณาทาน และ
ทักขิไณยบุคคลก่อนแล้วจึงถวาย. ในทักขิณาทาน และทักขิไณยบุคคล
สองอย่างนั้น เมื่อบุคคลไม่ให้ของตามมีตามเกิดเลือกให้แต่ไทยธรรม
ที่เลิศที่ประณีต ชื่อว่า ย่อมเลือกให้แม้ซึ่งทักขิณาทาน. เมื่อไม่ให้แก่
บุคคลทั่วไป เลือกให้แต่บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยคุณธรรมมีศีลเป็นต้น ชื่อว่า

ย่อมเลือกเป็นพระทักขิไณยบุคคล บทว่า สุคตปฺปสฏฺฐํ ความว่า
ทานเห็นปานนี้ แม้พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ก็ทรงสรรเสริญ.
ใน 2 อย่างนั้น เพื่อจะแสดงถึงการเลือกเฟ้นพระทักขิไณย-
บุคคล ท่านจึงกล่าวคำมีอาทิว่า เย ทกฺขิเณยฺยา ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทกฺขิเณยฺยา ได้แก่พระอริยบุคคล
ทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ผู้สมควรแก่ทักษิณา. บทว่า ปาณภูตานิ
ได้แก่ภูต กล่าวคือสัตว์ที่มีชีวิตทั้งหลาย. บทว่า อเหฐยนฺโต มีความ
กรุณาไม่เบียดเบียนสัตว์ให้เดือดร้อน ท่องเที่ยวไป. บทว่า ปรูปวาทา
ความว่า ไม่ทำบาปเพราะกลัวคนอื่นติเตียน. บทว่า ภีรุํ ได้แก่ผู้กลัว
การถูกติเตียน. บทว่า น หิ ตตฺถ สูรํ ความว่า ส่วนบุคคลใด
ไม่กลัวการติเตียนนั้น จึงกล้าทำบาปโดยอโยนิโสมนสิการ บัณฑิต
ทั้งหลายย่อมไม่สรรเสริญบุคคลนั้นเลย. บทว่า ภยา หิ ความว่า
เพราะว่าสัตบุรุษทั้งหลาย ย่อมไม่ทำบาปเพราะกลัวเขาติเตียน. บทว่า
หีเนน พฺรหฺมจริเยน ความว่า จะกล่าวในลัทธิภายนอกพระศาสดา
ก่อน ผลเพียงเมถุนวิรัติและศีล ชื่อว่า พรหมจรรย์อย่างต่ำ. บุคคล
เกิดในขัตติยตระกูลด้วยอำนาจพรหมจรรย์อย่างต่ำนั้น. ผลเพียงอุปจาร-
ฌาน ชื่อว่า พรหมจรรย์อย่างกลาง บุคคลเกิดในเทวโลก ด้วย
พรหมจรรย์อย่างกลางนั้น. สมาบัติแปดเป็นพรหมจรรย์อย่างสูง บุคคล
ย่อมชื่อว่า บริสุทธิ์เข้าถึงพรหมโลกได้ด้วยพรหมจรรย์อย่างสูงนั้น.

ส่วนในทางพระพุทธศาสนา การประพฤติพรหมจรรย์โดยมุ่ง เทวนิกาย
ของผู้มีศีลนั่นแล ชื่อว่า พรหมจรรย์อย่างต่ำ การยังสมาบัติให้บังเกิด
ขึ้น ของผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์นั่นแล ชื่อว่า พรหมจรรย์อย่างกลาง. การที่
ภิกษุดำรงอยู่ในปาริสุทธิศีล เจริญวิปัสสนาแล้วบรรลุพระอรหัต ชื่อว่า
พรหมจรรย์อย่างสูง.
คาถาสุดท้าย มีอรรถาธิบายดังนี้ ดูก่อนมหาบพิตร ได้มีผู้
สรรเสริญคือยกย่องทานโดยส่วนมากก็จริง แต่ถึงกระนั้น ธรรมบท
ซึ่งเป็นส่วนแห่งธรรม กล่าวคือ สมถวิปัสสนาก็ดี กล่าวคือ พระนิพพาน
ดี ประเสริฐกว่าทาน.
เพราะเหตุไร ?
เพราะว่า สัตบุรุษทั้งหลายในกาลก่อน คือในภัทรกัปนี้ มีพระ
กัสสปทศพลเป็นต้น หรือในกาลก่อนกว่านั้นอีก มีพระเวสสภูทศพล
เป็นต้น ท่านมีปัญญา เจริญสมถวิปัสสนาได้บรรลุถึงพระนิพพานที
เดียว.
พระปัจเจกพุทธเจ้า 7 พระองค์ พรรณนาอมตมหานิพพาน
แด่พระราชา ด้วยอนุโมทนาคาถาอย่างนี้แล้ว กล่าวสอนพระราชา
ด้วยอัปปมาทธรรม แล้วไปที่อยู่ของตน ๆ ตามนัยดังกล่าวแล้วนั้นแล.

แม้พระราชา พร้อมด้วยพระอัครมเหสี ก็ได้ถวายทานจนตลอด
พระชนมายุ ครั้นเคลื่อนจากอัตภาพนั้นแล้ว ก็ได้เสด็จไปสู่สวรรค์.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ตรัสว่า
แม้ในกาลก่อน บัณฑิตก็ได้เลือกถวายทานด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้แล้ว
ทรงประชุมชาดกว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายในครั้งนั้น ปรินิพพาน
แล้ว พระสุททวิชยาเทวี ได้เป็นมารดาพระราหุล พระเจ้าเภรุวราช
คือเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาอาทิตตชาดกที่ 8

9. อัฏฐานชาดก



ว่าด้วยสิ่งที่เป็นไปไม่ได้



[1188] เมื่อใด แม่น้ำคงคาดารดาษด้วยดอกบัว
ก็ดี นกดุเหว่าสีขาวเหมือนสังข์ก็ดี ต้นหว้า
พึงให้ผลเป็นผลตาลก็ดี เมื่อนั้น เราทั้งสอง
พึงอยู่ร่วมกันได้แน่.
[1189] เมื่อใด ผ้า 3 ชนิดจะพึงสำเร็จได้ด้วย
ขนเต่า ใช้เป็นเครื่องกันหนาวในคราวน้ำค้าง
ตกได้ เมื่อนั้น เราทั้ง 2 พึงอยู่ร่วมกันได้แน่.
[1190] เมื่อใด เท้ายุงทั้งหลาย จะพึงทำเป็น
ป้อม มั่นคงดีไม่หวั่นไหว อาจจะทนบุรุษผู้
ขึ้นรบได้ตั้งร้อย เมื่อนั้น เราทั้ง 2 พึงอยู่
ร่วมกันได้แน่.
[1091] เมื่อใด เขากระต่ายจะพึงทำเป็นบันได
เพื่อขึ้นไปสวรรค์ได้ เมื่อนั้น เราทั้ง 2 พึง
อยู่ร่วมกันได้แน่.